โสมแดงเกาหลี โสมอเมริกัน และโสมไซบีเรีย
โสม ถือเป็นราชาแห่งสมุนไพรและถูกนำมาใช้เป็นเวลานานกว่า 2,000 ปี โสมที่ทาง อย. ไทยอนุญาตให้ใช้ มีอยู่ด้วยกันสามสายพันธุ์ คือ
- โสมเกาหลี (Korean Ginseng) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Panax ginseng C.A. Mey.
- โสมอเมริกัน (American Ginseng) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Panax quinquefolius L.
- โสมไซบีเรีย (Siberian Ginseng) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Eleutherococcus senticosus
โสมแต่ละชนิด มีประโยชน์ในด้านต่างๆหลากหลาย กล่าวโดยพอสังเขปได้ดังนี้
โสมเกาหลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าและช่วยฟื้นตัวจากอาการล้า (Anti-Fatigue & Fatigue Recovery) เสริมประสิทธิภาพทางเพศในชาย ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ลดและป้องกันมะเร็งหลายชนิด ช่วยในเรื่องโรคปอดเรื้อรัง
โสมอเมริกัน ช่วยเรื่องความจำ การทำงานของระบบประสาทและสมอง กระตุ้นระบบภูมิคุมกันของร่างกาย
โสมไซบีเรีย เป็นอแดปโตเจน (Adaptogen) ช่วยปรับและรักษาสมดุลของร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
งานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของโสมทางวิชาการและ ทางการแพทย์ที่น่าสนใจ รวมถึงความปลอดภัย มีดังนี้
1. ช่วยต้านความเหนื่อยล้าและช่วยฟื้นตัวจากอาการล้า(Anti-Fatigue & Fatigue Recovery) มีงานวิจัยหลากหลายที่สนับสนุนว่า โสมเกาหลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าและช่วยฟื้นตัวจากอาการล้า ซึ่งได้ทำการการทดสอบในผู้ป่วยหญิงที่เป็นโรคเส้นเลือดตีบหลายเส้น โดยให้รับประทานโสมครั้งละ 250 กรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียลดลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
2. เสริมประสิทธิภาพทางเพศในชายมีงานวิจัยในผู้ป่วยที่มีปัญหาองคชาติไม่แข็งตัว (Erectile dysfunction) 45 ราย โดยรับประทานโสมเกาหลี ปริมาณ 900 มก. วันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 2 เดือน พบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในการประเมินอย่างละเอียดทุกด้าน และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่ชี้บ่งว่า โสมเกาหลีเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
3. ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดโสมเกาหลี มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจโดยออกฤทธิ์คล้ายกับยาหัวใจ (digoxin) (อ้างอิงที่ 10) และงานวิจัยในผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ (Cardiac surgery) 60 คน มีโดยให้ผู้ป่วยทานโสม 250 มก. เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า โสมมีผลช่วยป้องกันหัวใจขาดเลือดและการบอบช้ำจากการผ่าตัดลิ้นหัวใจของผู้ป่วย 52 คนได้
4. ลดและป้องกันมะเร็งในการวิจัยย้อนหลัง (Case control study) ซึ่งเป็นการวิจัยที่เหมาะสมในการหาความเสี่ยงและป้องกันการเกิดมะเร็งในคน พบว่าในคนที่ทานโสมมีอุบัติการณ์หรือโอกาสเป็นมะเร็งลดลงอย่างมาก มะเร็งที่ลดลงเมื่อทานโสมได้แก่ มะเร็งริมฝีปาก ช่องปากและคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมีงานวิจัยของเกาหลีพบว่า การรับประทานโสมเกาหลีเป็นเวลานานสามารถลดอุบัติการณ์ของมะเร็งตับลงได้ด้วยการทำงานในด้านการต้าน อัลฟาทอกซินบี และยูรีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยในมะเร็งตับ แต่ก็ยังไม่สามารถลดมะเร็งตับจากการดื่มสุราหรือสาเหตุอื่นได้
5. ช่วยในโรคถุงลมโป่งพอง(COPD) มีงานวิจัยให้ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง 92คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้สารสกัดโสม วันละ 200มก. 49คน และกลุ่มควบคุม ได้รับยาหลอก อีก 43คน เป็นเวลา 3เดือน พบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดโสม มีสมรรถภาพทางปอดดีขึ้นอย่างมากในทุกด้าน โดยที่ไม่มีผลข้างเคียง แต่กลุ่มที่ได้รับยาปลอมไม่มีผลดีขึ้นแต่อย่างใด
6. ช่วยเรื่องความจำ การทำงานของระบบประสาทและสมอง พบว่ามีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่า การใช้โสมอเมริกัน ช่วยให้การทำงานของสมองด้านความจำดีขึ้น และช่วยปกป้องระบบประสาท
7. ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน โสมอเมริกัน มีผลต่อการกระตุ้น lymphocytes และ monocytes โดยผ่านกลไกช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมทั้งมีศักยภาพในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันได้ และอีกงานวิจัยทดสอบในอาสาสมัคร 32 คน แบ่งเป็น2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากโสมไซบีเรีย 10 มล. วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า ช่วยเพิ่ม T- lymphocytes,B – lymphocytesจึงช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นได้
8. โสมไซบีเรีย เป็นอแดปโตเจน (Adaptogen) ช่วยเพิ่มความต้านทานของร่างกายต่อปัจจัยลบต่างๆทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ ช่วยปรับและรักษาสมดุลของร่างกาย มีฤทธิ์ต้านความเครียด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดอาการอ่อนล้า ที่มีความปลอดภัย ไม่มีพิษต่อผู้ใช้
โสมมีความปลอดภัยสูง สามารถรับประทานต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลายาวนาน ผลข้างเคียงมีน้อยมาก ที่พบได้มีแค่ อาการปวดศีรษะ และทางเดินอาหาร และรบกวนการนอนหลับเท่านั้น อาจมีการรบกวนประจำเดือน อาการเจ็บหน้าอกขณะมีประจำเดือน และมีรายงานถึงคนที่แพ้อย่างรุนแรงได้ โดยมีอาการทางผิวหนัง แต่ทั้งหมดนี้เกิดได้น้อยมาก
ข้อควรระวัง :
1.ไม่ควรทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างแรง ยากระตุ้นหัวใจ ยาแก้ซึมเศร้า ยาแอสไพริน และสุรา
2.ไม่แนะนำในเด็กและสตรีมีครรภ์
3.ไม่แนะนำในคนที่ตับอักเสบ คือมีเอนไซม์ของตับสูงแล้ว (ไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นพาหะ ยังไม่มีเอนไซม์สูงจะรับประทานได้) หรือตับอักเสบจนตัวเหลือง ตาเหลืองหรือตับโต
4.ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานทุกครั้ง


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น